พูดถึงตำนาน 12 นักษัตร หม่อมฉันก็อยากรู้มานานแล้ว


วันนี้ก็เลยค้นคว้าข้อมูลมาแบ่งปันเพื่อนๆ ไปอ่านกันเลยค่ะ ^^


ราศีมีน (Pisces)

 


เมื่อครั้งที่เหล่าเทพจัดงานฉลองกันริมแม่น้ำไนล์แล้วสัตว์ประหลาดไทพ่อนโผล่ออกมานั้น อโฟรไดท์(Aphrodite) เทพีแห่งความงามและความรักได้แปลงกายตัวเองเป็นปลา และลูกชายของเธอ อีรอส (Eros) ก็แปลงเป็นปลาด้วยเช่นกันแล้วกระโดลงแม่น้ำไนล์ว่ายหนีไป โดยทั้งสองใช้เชือกหนึ่งเส้นผูกไว้ระหว่างกันเพื่อไม่ให้หลงทางแยกจากกัน ซึ่งรูปกลุ่มดาวราศีมีนก็คือรูปร่างของทั้งสองเมื่อครั้งกลายร่างเป็นปลานั้นเอง บางเรื่องเล่าว่าผู้ที่ทำให้กลายเป็นหมู่ดาวคือเทพีอาเธน่า 

 


แต่ที่ว่าแม่น้ำที่กระโดดลงไปไม่ใช่แม่น้ำไนล์แต่เป็นแม่น้ำเอริดานุส(Eridanus) ก็มี


ราศีกุมภ์ (Aquarius)

 


เมื่อครั้งที่สมัยเมืองทรอยยังคงอยู่ มีเจ้าชายนามว่ากานีเมเด (Ganymede) กานีเมเดเป็นเด็กหนุ่มรูปงามเสียจนว่า แม้แต่สาวงามก็ยังเทียบได้ยาก ซีอุสซึ่งแต่เดิมจะเป็นหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยงอยู่แล้วนั้น เมื่อได้เห็นก็เกิดถูกใจในความงามของกานีเมเดเข้า จึงแปลงกลายเป็นนกอินทรี (บ้างก็ว่าส่งอินทรีมา) มาลักพาตัวกานีเมเดที่กำลังต้อนฝูงแกะอยู่นั้นเองไปที่โอลิมปัส และให้ทำหน้าที่เป็นผู้รินเหล้าแก่เหล่าเทพ (ประมาณว่าโดนจับให้มาเป็นเด็กเชียร์เบียร์ แต่ว่ากันว่าไม่ใช่แค่รินเหล้า แต่ให้เป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวของซีอุสด้วยซ้ำ) ซึ่งแต่เดิมเป็นหน้าที่ของเฮเบ (Hebe) เทพีแห่งความเยาว์วัยซึ่งเป็นธิดาของเทพีเฮร่าและซีอุส แต่ได้เกษียณตัวเองไปแต่งงานกับเฮอร์คิวลิสที่ถูกยกให้เป็นเทพบนสวรรค์ (ถือว่าเป็นการสงบศึกกันระหว่างเฮร่าและเฮอร์คิวลิส) 

 


แต่เมื่อเฮร่าเห็นซีอุสให้ความรักแก่กานีเมเดก็เกิดความหึงหวง ฝ่ายซีอุสก็กลัวเมียเป็นทุนเดิม จึงให้กานีเมเดไปเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนเฮร่ารังควาน และใกล้ ๆ กันจะมีกลุ่มดาวอินทรีซึ่งก็คือร่างของซีอุสที่กลายร่างเป็นอินทรีมาลักตัวกานีเมเดไปนั่นเอง แต่บางเรื่องเล่าก็ว่าเมื่อกานีเมเดถูกลักพาตัวไปแล้ว ฝ่ายบิดาและมารดาซึ่งเป็นเจ้าเมืองทรอยในตอนนั้นก็เศร้าเสียใจมาก ซีอุสจึงให้ผู้รับใช้นำของขวัญมาปลอบใจซึ่งได้แก่ม้าวิเศษที่วิ่งบนน้ำได้ (บ้างก็ว่าเป็นเถาองุ่นทองคำ) และเล่าว่ากานีเมเดได้รับพรให้ไม่แก่ไม่ตายและยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้รินเหล้าแก่เหล่าเทพอีกด้วย และซีอุสก็ได้ทำให้กานีเมเดกลายเป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์ เพื่อให้พ่อแม่ของเขาสามารถมองเห็นเขาอยู่บนท้องฟ้าได้ (คืน ๆ ให้พ่อแม่เขาไปซะก็สิ้นเรื่อง)


ราศีมังกร (Capricornus)

 


ตำนานของราศีมกรที่พูดถึงกันมากที่สุดคือ เมื่อครั้งที่เหล่าเทพจัดงานฉลองกันริมแม่น้ำไนล์แล้วไทพ่อนโผล่ออกมานั้น เทพแพนซึ่งเป็นเทพแห่งท้องทุ่งมีเขาเหมือนแพะ หูที่แหลม และมีขนขึ้นอีกด้วย เทพแพนตกใจมากจึงกลายร่างเป็นสัตว์คิดจะหนีไป แต่ด้วยความรีบร้อนจึงกายเพียงครั้งล่างเป็นปลากระโดดลงน้ำหนีไป และเทพซีอุสที่เห็นว่าน่าสนุกดีจึงทำให้เกิดเป็นกลุ่มดาวขึ้นมา

 


ส่วนอีกตำนานหนึ่งว่าเป็นแม่แพะชื่อว่าอามัลเทียที่คอยให้นมแก่ซีอุสเมื่อครั้งยังเป็นเด็กทารกอยู่ ซีอุสจึงให้เกียรติเธอ สามอย่างคือ หลังจากที่เธอตายให้เอาหนังไปแปะไว้โล่ห์ของตน ซึ่งต่อมากลายเป็นของอาเธน่า (โล่ห์ชื่อว่าไอกิส) และให้เขาของเธอเต็มไปด้วยผลไม้ทองคำจากสวนเฮสเพริเดส เมื่อเด็ดกินหมดมันก็จะงอกขึ้นมาใหม่เอง เรียกว่าเป็นเขาแห่งความอุดมสมบูรณ์ และสุดท้ายให้กลายเป็นกลุ่มดาว


ราศีธนู (Sagittarius)

 


กลุ่มดาวราศีธนูนี้หมายถึงเซนทอส(Centaur) ที่เป็นครึ่งคนครึ่งม้านามว่าเครอน (Cheiron)

 


เครอนเป็นเซนทอสที่ได้รับการสอนเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแพทย์ การดนตรี การพยากรณ์ และการล่าสัตว์จากเทพพอลโลและเทพีอัลเตมิส ด้วยชื่อเสียงของเขา จึงทำให้เหล่าพระราชาและผู้กล้ามากมายต่างนำลูกของตนให้มาเป็นศิษย์ของเครอน ซึ่งลูกศิษย์ของเครอนก็มีตั้งแต่เฮอร์คิวลิส คาสเตอร์ ไปถึงเจสัน (+etc.)

 


ว่ากันว่าเครอนเป็นลูกของพิไลร่า (Philyra) ซึ่งเกิดระหว่างโครนอส (Chronos) และนิมส์ โดยโครนอสแปลงร่างเป็นม้าเพื่อหลบสายตาของเทพีเรอาผู้เป็นภรรยาไปหานางนิมส์ จึงเกิดเป็นครึ่งคนครึ่งม้าออกมา

 


การตายของเครอนนั้นว่ากันว่า เมื่อครั้งที่เฮอร์คิวลิสมีเรื่องกับพวกเซนทอส เกิดผิดพลาดยิงศรที่อาบยาพิษของไฮดร้าไปถูกเครอนเข้า พิษของไฮดร้านั้นร้ายแรงมาก แม้แต่เครอนที่ได้เรียนวิชาแพทย์จากเทพก็ไม่สามารถรักษาได้ แต่ด้วยว่าเครอนเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย แต่ก็ไม่สามารถรักษาพิษได้จึงต้องทรมาณกับพิษของไฮดร้า เครอนทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงตัดสินใจยกความเป็นอมตะของตนให้แก่พรอเมเทอุส แล้วสิ้นใจลงกลายเป็นกลุ่มดาวราศีธนูไป 

 


ยังว่ากันว่าปลายธนูของกลุ่มดาวราศีธนูนั้นเล็งไปที่หัวใจของกลุ่มดาวราศีแมงป่องอีกด้วย

 


ปล.ชื่อภาษาอังกฤษของราศีนี้เท่ชะมัด “Sagittarius”


ราศีพิจิก (Scorpio)

 


นายพรานชื่อว่าโอริออน (Orion) ออกตัวว่าตนเป็นผู้ที่เก่งกาจกว่าใคร จนทำให้เหล่าเทพเกิดไม่พอใจ (ราว ๆ ว่าหมั่นไส้ ) โดยเฉพาะเทพีไกอา (Gaia) รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงเรียกแมงป่องตัวหนึ่งมา ให้ไปจัดการกับโอริออนเสีย แมงป่องจึงใช้พิษที่หางของมันแทงโอริออนถึงแก่ความตาย จึงถูกยกให้กลายเป็นหมู่ดาวเพื่อเป็นเกียรติแก่มัน 

 


ส่วนโอริออนนั้นก็กลายเป็นหมู่ดาวโอริออนด้วยการร้องขอเทพีอัลเตมิส (อีกตำนานของกลุ่มดาวโอริออนเล่าว่า โอริออนตายเพราะลูกศรของเทพีอัลเตมิสที่หลงรักตนเพราะถูกอพอลโลหลอก) ว่ากันว่าแม้จะกลายเป็นดาวแล้วโอริออนก็ยังคงกลัวแมงป่องอยู่ 

 


โดยกลุ่มดาวโอริออนจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกลุ่มดาวแมงป่อง และจะไม่ปรากฏให้เห็นจนกว่ากลุ่มดาวราศีพิจิกจะลับขอบฟ้าไป

 


ราศีตุลย์ (Libra)

 


…ชื่อของกลุ่มดาวจักรราศีที่แตกต่างจากชื่อของกลุ่มดาวจักรราศีอื่น ๆ คือ กลุ่มดาวคันชั่ง เพราะเครื่องชั่งเป็นของใช้ ไม่มีชีวิต ในขณะที่ชื่อของกลุ่มดาวจักรราศีกลุ่มอื่น ๆ เป็นสิ่งมีชีวิต  กลุ่มดาวคันชั่งเป็นกลุ่มดาวที่ไม่เด่น และไม่พบวัตถุฝ้า ๆ ในกลุ่มดาวนี้ 

 


คันชั่งเป็นเครื่องมือที่เทพธิดาแห่งความยุติธรรม เทพีแอสเตรีย (ในราศีกันย์) ใช้เพื่อวัดความเที่ยงธรรมในโลกมนุษย์  

 


ราศีกันย์ (Virgo)

 


สำหรับราศีกันย์นั้นมีอยู่หลายเรื่องเล่าว่าจนไม่แน่ใจว่าหญิงสาวที่ว่าหมายถึงใครกันแน่ ส่วนมากจะบอกว่าเป็นเทพีแอสเตรีย (Astraea) เทพีแพ่งความยุติธรรม หรือดีมิเตอร์(Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือบางทีก็เป็นเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone) ธิดาของดีมิเตอร์และซีอุส ด้วยว่าเพอร์ซิโฟเน่ ถูกฮาเดสลักพาตัวไปต้องอยู่ในแดนแห่งความตาย 4 เดือน และใน 4 เดือนนั้นเราจะไม่เห็นหมู่ดาวราศีกันย์ด้วย (ของดีมิเตอร์และเพอร์ซิโฟเน่คงไม่ต้องเล่าเพราะคิดว่ารู้จักกันดีอยู่แล้ว) 


แต่มาดูเรื่องของแอสเตรียกันดีกว่า 


เมื่อครั้งสมัยที่มนุษย์เพิ่งเกิดขึ้นซึ่งเรียกกันว่า ยุคทอง ทั้งปีเปรียบเสมือนกับฤดูใบไม้ผลิ มนุษย์ก็อยู่กันอย่างสุขสบายแทบไม่ต้องทำมาหากินอะไรเลย เหล่าเทพก็เลยลงมาอาศัยอยู่บนพื้นโลกกับมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน แต่หลังจากผ่านยุคทองเข้าสู่ยุคเงินนั้นมนุษย์ก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงกัน เหล่าเทพก็เกิดความเบื่อหน่ายจึงค่อย ๆ จากไปพำนักอยู่บนสวรรค์ทีละองค์สององค์ จนเหลือแต่เพียงเทพีแอสเตรีย ซึ่งเธอก็พยายามอดทนคอยตักเตือนมนุษย์ให้อยู่ในความดีตลอดมา แต่ก็ไม่มีผลอันใดมนุษย์กลับยิ่งเลวร้ายลง จนสุดท้ายเทพีแอสเตรีย
หมดความอดทนเธอก็จากพื้นโลกกลับสู่สรวงสวรรค์


ราศีสิงห์ (Leo)

 


ในงานทั้ง 12ของเฮอร์คิวลิส งานแรกก็คือการจัดการสิงโตยักษ์ที่อาศัยอยู่ในป่าเนมีอา (Nemea) สิงโตตัวนี้มีขนาดใหญ่โตมาก ชอบจับผู้คนกินเป็นอาหาร และยังมีผิวกายที่แข็งมากอีกด้วย

 
แม้แต่ลูกธนูหรือไม้พลองของเฮอร์คิวลิสก็ไม่อาจทำอะไรมันได้ สุดท้ายเฮอร์คิวลิสจึงใช้มือเปล่าบิดคอมันจนตาย เทพีเฮร่าจึงยกให้สิงโตเป็นหมู่ดาวเพื่อสรรเสริญถึงอุปสรรคที่มันสร้างให้แก่เฮอร์คิวลิส


ราศีกรกฏ (Cancer)


ในงานทั้ง 12ของเฮอร์คิวลิส มีอยู่งานหนึ่งคือไปกำจัดไฮดร้า(Hydra) ซึ่งเป็นงูยักษ์มี 9 หัว ส่วนเจ้าปูที่ว่านี่แม้แต่ชื่อก็หาไม่เจอและไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย แต่ก็ถูกเฮอร์คิวลิสที่กำลังต่อสู้อยู่เหยียบโดยไม่รู้ตัว แล้วเทพีเฮร่าซึ่งไม่ชอบเฮอร์คิวลิสอยู่แล้วก็เลยทำให้กลายเป็นกลุ่มดาว<ไปพร้อมไฮดร้าด้วย (แบบว่าไม่รู้ตัวอยู่ ๆ ก็ได้กลายเป็นดาว) 

 


แต่อีกที่บอกว่า เจ้าปูยักษ์ตัวนี้เป็นเพื่อนกับไฮดร้า เมื่อครั้งไฮดร้าสู้กับเฮอร์คิวลิสก็พยายามช่วยโดยหนีบขาเฮอร์คิวลิสไว้ แต่ก็ถูกเฮอร์คิวลิสเหยียบตายจนได้ เทพีเฮร่าเห็นก็เกิดประทับใจในความรักเพื่อน(+ขอบใจที่ช่วยหนีบขาเฮอร์คิวลิส) จึงทำให้เจ้าปูยักษ์ขึ้นไปเป็นหมู่ดาวบนฟ้า


ราศีเมถุน (Gemini)


คาสเตอร์ (Castor) กับพอลลักซ์ (Pollux) เป็นฝาแฝดก็จริง แต่ไม่ใช่แฝดสอง แต่จริง ๆ แฝดสี่ แถมเป็นแฝดคนละไข่อีกด้วย (ที่ว่าเป็นคนละไข่น่ะ ไข่จริง ๆ นะ) 

 


เรื่องมีอยู่ว่า ซีอุสเกิดไปหลงรักนางเรดา มเหสีของพระราชาไทนดาริอุส(Tyndareus) แห่งเมืองสปาร์ต้า ซีอุสจึงวางแผนกับเฮอร์เมส ให้เฮอร์เมสแปลงกายเป็นอินทรีให้ไล่ตามตัวเองซึ่งแปลงกายเป็นหงส์ขาว (ซึ่งว่ากันว่ากลุ่มดาวหงส์หรือ Cygnus ก็คือรูปร่างของซีอุสที่กลายเป็นหงส์ขาวนี่เอง) เมื่อนางเรดาเห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยโอบกอดหงส์ขาวไว้แล้วไล่อินทรีไป แล้วไม่นานนักนางเรดาก็คลอกลูกออกมาเป็นไข่สองใบ (บางก็ว่าใบเดียว) และในไข่แต่ละใบ ก็มีฝาแฝดชายหญิงอย่างละคู่อยู่ ได้แก่ คาสเตอร์กับคลิเทมเนสตร้า(Clytemnestra)ในไข่ใบแรก และ พอลลักซ์กับเฮเลน (Helen) ในไข่ใบที่สอง (ซึ่งนางเฮเลนที่ว่านี้ ก็คือนางเฮเลนที่เป็นต้นกำเนิดของการล่มสลายของเมืองทรอยนั่นเอง) 

 


คาสเตอร์กับพอลลักซ์เป็นพี่น้องที่รักกันมาก แต่ทว่าคาสเตอร์นั้นเป็นลูกของไทนดาริอุสที่เป็นมนุษย์จึงไม่ได้เป็นอมตะ ผิดกับพอลลักซ์ที่เป็นบุตรของซีอุสจึงไม่แก่ไม่ตาย คาสเตอร์และพอลลักซ์ (สองคนเรียกรวมกันว่าดีออสคอยส์ : Dioscuri) ซึ่งทั้งสองก็เป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงมาก โดยได้เคยรวมเรืออาร์โก้ไปกับเจสันเพื่อเอาขนแกะทองคำด้วย 

 


เรื่องเล่าเกี่ยวกับการตายของคาสเตอร์มีอยู่ว่า ทั้งสองได้ไปร่วมงานแต่งงานระหว่างคู่ฝาแฝดชายนามว่าอิดัส (Idas)และไลนเซอุส(Lynceus) กับฝาแฝดหญิงคือนางฟีเบ (Phoebe) และนางฮิลาเอย์ร่า (Hilaeira) ไม่รู้ว่าเมาอะไร คาสเตอร์กับพลอลักซ์กลับไปฉุดเอาเจ้าสาวทั้งสองมา ทำให้เกิดการต่อสู้กับอิดัสและไลนเซอุส ส่งผลให้คาสเตอร์ตาย (อิดัสกับไลนเซอุสก็ตายด้วย) พอลลักซ์เศร้าเสียใจมาก แต่ด้วยว่าตนเป็นอมตะไม่สามารถตายร่วมกับคาสเตอร์ได้ จึงร้องขอกับเหล่าเทพว่า ให้ตนสามารถแบ่งความเป็นอมตะแก่คาสเตอร์ หลังจากนั้นทั้งสองจึงอยู่บนสวรรค์ 1 วันและจะไปอยู่ในแดนแห่งความตาย 1 วัน สลับกันไป (บ้างก็ว่าครึ่งวัน บ้างก็ว่า 1 ปี) ซีอุสเห็นแก่มิตรภาพของทั้งสองจึงทำให้เกิดกลุ่มดาวราศีเมถุนขึ้นมา


ราศีพฤษภ (Taurus)


วันหนึ่งนางยูโรป้า เจ้าหญิงแห่งเมืองฟินิเชียน (Phoenician) ผู้มีความงามเป็นหนักหนา ออกไปเดินเล่นที่ทุ่งหญ้า (บางก็ว่าริมชายหาด) ก็ได้เห็นวัวสีขาวรูปร่างกำยำงดงามเป็นที่สุดตัวหนึ่ง เจ้าวัวตัวนี้เชื่องสนิทและยังมีท่าทีเป็นมิตรผิดกับท่าทีที่น่าเกรงขามของมัน นางก็เลยตายใจขึ้นเข้าไปลูบไล้และในที่สุดก็ขึ้นขี่หลังวัวตัวนั้น

 


เมื่อนางขึ้นขี่หลังวัวตัวนั้นก็ออกวิ่งผ่านน้ำข้ามทะเลไม่ยอมให้นางลงจากหลังจนไปถึงเกาะครีต (Crete) ซึ่งจริง ๆ แล้ว วัวตัวนี้ก็คือซีอุสแปลงกายมา ด้วยว่าซีอุสเกิดหลงรักนางยูโรป้าจึงแปลงกายเป็นวัวมาลักพาตัวนาง และหลังจากนั้น นางยูโรป้าก็คลอดบุตรสามคนซึ่งได้แก่ มินอส (Minos) ลาดามันติส (Rhadamanthys) และซาร์เพดอน(Sarpedon)

 


ซึ่งกลุ่มดาวราศีพฤษกก็คือรูปร่างของซีอุสเมื่อยามแปลงกายเป็นวัวที่ซีอุสทำไว้เป็นที่ระลึก และชื่อของทวีปยุโรป ก็ว่ากันว่าเอามาจากชื่อของนางยูโรป้านี่เอง

 


ราศีเมษ (Aries)

Zodiac_signs_Aries


ถ้าใครเคยดูหนังเรื่องเจสันกับขนแกะทองคำ (ไม่แน่ใจว่าเรื่องชื่อหนังเหมือนกัน อาจจะเป็น อภินิหารขนแกะทองคำก็ได้นะ) คงจำขนแกะที่แขวนอยู่บนต้นไม้แล้วมีสัตว์ประหลาดเฝ้าอยู่ได้ ก็แกะตัวนั้นแหละที่เป็นที่มาของกลุ่มดาวราศีเมษ แต่เรื่องของต้นกำเนิดของกลุ่มดาวเป็นเรื่องก่อนหน้าที่เจสันจะเดินทางไปเอาขนแกะ ตามที่เอามาสร้างเป็นหนังให้ดู (แต่บางตำนานก็ว่า กลุ่มดาวราศีเมษมาจากตอนของเจสันนี่ล่ะ แต่เรามาพูดถึงตอนที่แกะมันยังเป็นตัวดีกว่า)

 


เรื่องมีอยู่ว่า เจ้าชายพริซัส (Phrixus) และเจ้าหญิงเฮเล่ (Helle) บุตรฝาแฝดของพระราชาอาธามัส (Athamus)และเนเพเล่ (Nephele:เป็นนิมส์เมฆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่าเป็นภูตประเภทหนึ่ง แต่บางก็ว่าเป็นเทพีที่ซีอุสสร้างขึ้นเลียนแบบเทพีเฮร่า) แต่ต่อมาอาธามัสก็ทิ้งนางไปแต่งงานกับนางไอโน่ (Ino) ซึ่งนางไอโน่นั้นเมื่อคลอดลูกของตัวเองออกมา ก็รู้สึกไม่ชอบใจลูกเลี้ยงทั้งสองของตนเองจึงคิดจะวางแผนฆ่า โดยให้พวกผู้หญิงที่มีหน้าที่เป็นคนหว่านเมล็ดพันธุ์พืชเอาเมล็ดไปล่นไฟ ทำให้เมล็ดไม่สามารถเพาะปลูกได้ เกิดเป็นภัยแล้งขึ้นราชาอาธามัสจึงไปปรึกษากับนักบวช(ซึ่งแน่นอนนางไอโน่ซื้อตัวไปแล้ว) และนักบวชก็แนะนำว่า จะต้องสังเวยบุตรฝาแฝดทั้งสองต่อเหล่าเทพแล้วการเพาะปลูกจะอุดมสมบูรณ์เช่นเดิม ราชาอาธามัสได้ฟังเช่นนั้นก็ให้ทุกคนจัดแจงเตรียมงานสังเวยขึ้นทันที แต่ทว่าเนเพเล่เมื่อรู้เรื่องเข้าก็ไปร้องขอต่อซีอุสให้ช่วย เทพซีอุสจึงส่งแกะที่มีขนเป็นทองคำมาให้แก่เนเพเล่ ให้ลูกทั้งสองขึ้นหลังแกะแล้วหนีไป

 


ทว่าระหว่างทางที่หนีอยู่นั้น แกะบินสูงเกินไป เจ้าหญิงเฮเล่เกิดหน้ามืดตกลงจากหลังแกะไปในทะเล และเสียชีวิตลง ส่วนเจ้าชายพริซัสนั้นมาถึงเมืองคอลคิส (Colchis) โดยปลอดภัย และพระราชาอาเอเตส (Aeëtes) ก็ไห้การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่พริซัสกลับทำสิ่งที่น่าตกใจคือฆ่าแกะที่ช่วยพาตัวเองหนีมาทิ้ง แล้วยกขนทองคำให้พระราชาอาเอเตส (ไม่รู้ว่ามันทำเพื่อแก้แค้นในน้องสาวหรือเปล่านะแต่สงสารแกะชะมัด) แต่บ้างก็ว่าที่ฆ่าทิ้งเพราะจะสังเวยให้แก่เทพซีอุส (แต่เดิมมันก็เป็นของซีอุสอยู่แล้วนี่หว่า แล้วทำไมไม่คืนให้ทั้งตัวไปเลยฟะ) แล้วราชาอาเอเตสก็เอาขนแกะไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ในป่า และให้มังกรที่ไม่หลับไม่นอนเฝ้าเอาไว้ ส่วนเรื่องหลังจากนั้นกาดูจากตอนของเจสันได้

 


แล้วยังมีอีกเรื่องเล่าหนึ่งที่ว่าเป็นต้นกำเนิดของกลุ่มดาวราศีเมษ คือ เมื่อครั้งที่เหล่าเทพจัดงานสังสรรค์ที่ริมแม่น้ำไนล์ตอนที่กำลังครื้นเครงกันสุด ๆ อยู่ ๆ เจ้าสัตว์ประหลาดนามว่าไทพ่อน(Typhon) ก็โผล่ออกมา เหล่าพวกเทพต่างตกใจก็เลยแปลงร่างเป็นสัตว์วิ่งหนีกันไป โดยซีอุสแปลงร่างเป็นแกะแล้ววิ่งหนีไป ซึ่งราศีเมษก็คือรูปร่างของซีอุสเมื่อยามเป็นแกะนั่นเอง


สนุก ม๊ากๆๆ  55555   เพื่อนล่ะค่ะ ได้อ่านตำนานแล้วเป็นไงกันบ้าง ?????

 

 ที่มา : http://www.tumnandd.com

ผู้สืบค้น : natnitee109

Leave a comment